วันอาทิตย์ที่ ๑๕ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๐

อินเดีย-05 : วันแรกก็โดนซะแล้ว

วันแรกก็โดนซะแล้ว
จุดหมายของการมาแบบไม่มีอะไรของผมก็คือ เพื่อให้กระเป๋าว่างพอที่จะใส่ของกลับได้ ที่นี่ของที่ระลึกพวกพรม, เครื่องเงินมีขายเยอะ แต่หน้าอย่างผมนี้จะเข้าไปซื้อเครื่องเงินกลับบ้านตั้งแต่วันแรกก็แปลกแล้วล่ะ มาอยู่นี่ต้องประหยัดกันสุด ๆ ถึงแม้ว่าจะกดตังค์จาก Visa Electron ได้ก็ตาม วันแรก ๆ ที่เดินหาของ หาพวกถังมารองน้ำ หาแก้วมาใส่กาแฟ ที่นั่นกาแฟแก้วละ 10-15 บาท ผมเอาแบบ Three in one มาชงกินเองดีกว่า เดินไปเรื่อย ๆ แขกคนหนึ่งก็ทักทาย คนอินเดียนี่ต้องบอกว่าชอบคุย ชอบถาม เห็นหน้าตาคม ๆ เข้ม ๆ ไม่ใช่คนเงียบ ๆ ขรึม ๆ น่ากลัวนะครับ ที่ติ๊งต๊อง ๆ ก็มี ที่มาหลอกเราก็มี ที่ทำงานสุจริตก็มี ที่โดนผมหลอกก็มี เหมือนกันทุกประเทศน่ะล่ะครับ

คนที่เข้ามาคุยด้วยนี้แกชื่อว่าแมนี่ (Mani) เป็นคนขับรถออโต้ริกซอว์ หรือรถสามล้อรับนักท่องเที่ยว เช้า ๆ มีคนไม่เยอะ แกก็ว่าจะพาเราไปเที่ยวรอบ ๆ ถนน M.G. แล้วมาส่งที่เดิมแค่ 10 รูปี ผมก็ไม่รู้นี่ว่ามันมีลับลมคมในอะไร ดี น่าสนใจ ก็ไปกับเขา ใจง่ายมั้ยเนี่ย มันพาทัวร์รอบๆ ครับ แล้วมันพาไปไหนรู้มั้ยครับ มันพาเข้าร้านของที่ระลึก พวกเครื่องเงิน ให้ผมเป็นลูกค้าคนแรกของร้าน เพราะเพิ่งจะเปิดร้านตอน 10 โมง ลูกค้าคนแรกถือว่าเป็นฤกษ์ดีของเขา แต่ที่ไหนได้มาเจอผมเข้าซะ อย่างที่บอกไงครับ หน้าอย่างผมจะเข้าไปซื้อผ้าไหม, ซื้อเครื่องเงินตั้งแต่วันแรกก็ไม่ใช่ ต่อให้เป็นวันสุดท้ายผมก็ไม่ซื้อ ผมเตรียมมาซื้อกลับอย่างเดียวก็คือหนังสือ เจ้าของร้านหยิบผ้าโน่นผ้านี่มาให้ดูหลายผืน และก็บอกว่าสนใจอันไหน แค่นี้ผมก็รู้แล้ว มาไม้นี้อีกแล้ว คุ้น ๆ เหมือนกัน เถียงกับคนขายมันยกใหญ่ ผมก็เสียอยู่อย่างดันติดนิสัยขี้เกรงใจมา แต่ดู ๆ ไปแล้วมันก็ไม่เห็นเกรงใจเราเลยสักนิดเดียว มันจะให้เราซื้อผ้าประเดิมเป็นลูกค้าคนแรกในวันจันทร์ท่าเดียว คนขายยกเหตุผลนี้ขึ้นมา ถามหาบัตรเครดิตเรา ผ้าผืนละ 500 รูปี (ประมาณ 500 บาท) สวยนะครับ สวยจริง ๆ นึกๆ ไปก็อยากได้เหมือนกัน ผมดูผ้าไม่เป็น แต่ก็ดูรู้ว่าประณีตเป็นอย่างไร แต่อย่างไรก็ตามผมคงจะไม่ได้ใช้แน่ เจ้ารถพวกนี้ใช้วิธีนี้ในการเอาค่า commission โดยพานักท่องเที่ยวมาที่ร้าน ใครมาก็คงจะโดนแบบนี้เหมือนกัน ใครมาเที่ยวเมืองไทยก็คงไม่ต่างกัน แต่วันนี้ไม่ใช่ฤกษ์ของเขาครับ เงิน 500 รูปีของผมซื้อหนังสือที่นี่ได้ตั้งหลายเล่ม มันไม่มีทางหลุดจากกระเป๋าผมแน่ ถ้าอายุขนาดนี้แล้วยังเอาตัวรอดในสถานการณ์แบบนี้ไม่ได้ก็ให้มันรู้ไป

พอเห็นคนขับเดินเข้ามาข้างในอยู่กันพร้อมหน้าก็พยายามบอกจะมันประมาณว่า "ถ้าคุณใช้วิธีแบบนื้เพื่อให้มีลูกค้า มันไม่เวิร์คนะ เพราะคุณกำลังบังคับให้ฉันซื้อของที่ไม่ต้องการ, วันจันทร์เช้าและลูกค้าคนแรกเป็นฤกษ์ดีของคุณ แต่ไม่ใช่ปัญหาของผม" ผมพูดอย่างจริงจังมาก ๆ ดูเหมือนโหดร้ายกับเขา แต่จะไม่ให้พูดแบบนี้ได้อย่างไร ผมเข้าร้านแต่ก็ไม่ได้จะต้องรับผิดชอบการเป็นลูกค้าคนแรกนี่ครับ และผมไม่ได้มีเงินเหลือมาให้คนขับรถที่ว่าจะพาผมเที่ยวแต่กลับมาหลอกกันแบบนี้ ผมไม่ได้มาอยู่ 3-4 วัน ผมอยู่เป็นเดือน ๆ ว่าแล้วก็หันไปหาคนขับ บอกแค่ว่า "OK Take me back" มันก็บอกว่าช่วยหน่อยเถอะ ผมอยากจะได้อะไรสักอย่าง ฟังไม่ชัดสำเนียงเขา เหมือนกับว่าเป็นของใช้ให้ลูกอะไรประมาณนี้ เพราะว่าจะได้ค่า commission ผมไม่สนใจเดินออกมาที่รถสามล้อหน้าร้านเลย ในใจคิดว่ามันไม่ตามมาวุ่นวายหรอก จากที่ผมได้ศึกษาข้อมูลมาคนอินเดียไม่ได้ป่าเถื่อน เจ้าของร้านก็พูดภาษาท้องถิ่นกับเจ้าแมนี่คนขับ คงจะให้มาตื้อ มันก็ตื้อเราอีก ตื้อเก่งจริง ก็เลยว่า "ไม่ต้อง งั้นผมกลับเอง" ผมมีแผนที่กลับเองได้ มันเลยโอเค ตอนเดินทางมา มันจะพาเราแวะอีกร้าน ขอแค่ 10 นาที มันอุตส่าห์หยุดรถหันมาเกลี้ยกล่อม แต่อย่าหวังเลย ผมทำท่าลงจะรถมันก็ โอเค ๆ เอาผมกลับมาส่งที่เดิม ผมถามว่าจะเอาเท่าไหร่ มันยิ้มแหย ๆ ขอ 20 รูปี ไม่มีให้หรอก มีแต่แบ๊งค์โต ๆ แล้วตอนแรกมาบอกว่า 10 รูปีไง... มันก็ทำคอยึกยัก เลยให้มันไป 10 รูปีพอ นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า เราต้องรู้ทันแขกเวลาไปไหนมาไหน ซื้อน่ะได้ แต่อย่ามาบังคับกัน ผมซื้อหนังสือได้เป็นสิบ ๆ เล่มและเต็มใจแบกกลับถ้าอยากได้จริง ๆ ดังนั้นอย่ามาหลอกกัน ใครที่มาหลังจากผมนี่ให้รู้ทันไว้เลยนะครับ พยายามสื่อให้ได้ว่ามันจะพาเราไปไหน มันพูดอะไร ไม่ต้อง ง้อครับ รถสามล้อดี ๆ มีให้เกลื่อนเมือง เรามีสิทธิ์ในการตัดสินใจและเราควรเคารพสิทธิของเรา และแล้ววันจันทร์ก็เป็นฤกษ์ดีของผมในการเริ่มต้นค้นหาความรู้ที่นี่