วันพฤหัสบดีที่ ๒๑ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๐

อินเดีย-06 : M.G Road , Brigade Road ผมอยู่แถวนี้

เดือนมีนาคมที่ผมมาที่บังกาลอร์นี้ เริ่มเข้าช่วงหน้าร้อนของบ้านเรา และก็เริ่มช่วงหน้าร้อนของเขาเหมือนกัน (Summer) โชคดีที่ห้องน้ำในห้องพักผมมีน้ำอุ่นให้ด้วย คืนแรกที่มาถึง ลุงเขาก็แนะนำการใช้น้ำร้อนบอกว่าที่เปิดน้ำอยู่ที่ไหน ก็โอเค แต่ยังไม่ใช้เพราะไม่คิดว่ามันจะหนาวอะไรขนาดนั้น ผมอาบน้ำแบบไม่เกรงใจเลยครับ พอออกมาข้าง มันเย็นยะเยือกจนสั่นเลย เพราะห้องที่ผมพักนี้เป็นชั้นสอง แล้วหน้าต่างมี 3 บานติดกัน ลมเข้าพอดี ไม่มีตึกบังเลยครับ ต้องปิดหน้าต่างปิดพัดลมมานั่งกัดกรามอยู่คนเดียว วันต่อมาผมใช้น้ำอุ่นแบบไม่เกรงใจเลย ไอ้ว่าจะน้ำอุ่นก็ไม่ใช่ มันมี 2 ก๊อก อันหนึ่งเย็น อีกอันหนึ่งมันเป็นน้ำร้อน มันไม่ใช่น้ำอุ่นหรอก มันร้อนเลย บางวันก็แล้วแต่อารมณ์มันก็อุ่น อยู่อินเดียนี่ก็สนุกไปอีกแบบครับ มีอะไรที่เราคาดไม่ถึงเยอะ กลับไปมีเรื่องเล่าเพียบ เพราะมันเหมือนกับการผจญภัยไปพร้อมกับการไปเรียน แต่ละวันจะมีเรื่องที่เราคาดไม่ถึงมากมาย โดยเฉพาะเรื่องของการโดยสารรถออโต้ ซึ่งจะมาเล่าให้ฟังในตอนต่อ ๆ ไป เช้า ๆ เป็นช่วงเวลาที่ดีในการออกมาจิบไจ (ชา) ซึ่งเป็นเครื่องดื่มชาผสมนม ใส่ขิงนิด ๆ รสเผ็ด ๆ แก้วละ 4 รูปี ถ้าเอาแก้วใหญ่หน่อยก็ 6-7 รูปี ตามร้านข้าง ๆ ทางเขาจะให้แก้วพลาสติกครับ ต้มร้อน ๆ เสร็จใหม่ ๆ สะอาด จะยืนกินแถว ๆ นั้นได้ ในร้านจะมีขนมคุกกี้และพวกบิสกิตให้กินแกล้ม หวาน ๆ อร่อยดีครับ เค้กที่นี่อร่อยครับ แต่กินชิ้นเดียวก็พอแล้ว เพราะหวานกว่าบ้านเราเยอะ พอสาย ๆ หน่อยก็จะพบกับเด็ก ๆ พ่อแม่เดินจูงไปส่งโรงเรียน หนุ่ม ๆ สาว ๆ ก็เดินไปโรงเรียนกัน ผู้หญิงที่นี่เวลาไปไหนก็จะไปเป็นกลุ่มใหญ่ ๆ เหมือนกับพวกผู้ชายครับ แต่ก็ไม่ค่อยเห็นสาว ๆ แต่งส่าหรีหรือชูรีตา (Churithar) เท่าไหร่ มีแต่ก็จำนวนน้อย อาจจะเป็นเพราะยุคสมัยเปลี่ยนไป และอีกอย่างเราเข้าไปอยู่ในแถบแฟชั่นของเมืองนี้ก็ได้ แต่ถ้าออกไปไกลหน่อยก็จะมีให้เห็นเยอะครับ อากาศที่นี่ถึงแม้จะร้อนในช่วงหน้าร้อน แต่ก็ไม่เห็นใครเดินถือร่มกันสักคน เดินเฉิบ ๆ กลางแดดกันหน้าตาเฉย ผมก็เดินเหมือนกัน แต่ต้องหลบเข้าใต้ร่มไม้ครับ

บังกาลอร์เป็นเมืองที่มีต้นไม้เยอะ มีร่มเงาให้พักพิงเยอะ ที่ที่ร้อนจริง ๆ ก็คงจะเป็นช่วงของตึกครับ อย่าง Brigade road นี้จะมีอยู่ช่วงหนึ่งของถนนที่ติดกับ M.G. Road แถวนี้ล่ะครับ มีแต่ตึก เดินตอนกลางวันร้อนเอาเรื่องเลยทีเดียว เวลาเดินก็ต้องหลบไปเดินอีกทาง พอถึงช่วงที่มีต้นไม้ก็สบายครับ มีต้นไม้ก็ดีอย่างนี้ล่ะ เมืองไทยเราต้องช่วยกันรักษาต้นไม้ไว้นะครับ เพราะจะช่วยสร้างความร่มรื่นให้บ้านเมืองได้มากเลยทีเดียว บังกาลอร์นี้นอกจากจะมีสมญานามว่าเป็น Silicon Valley of Asia หรือ Electronic City แล้ว อีกชื่อหนึ่งก็คือ The City of Garden หรือเมืองแห่งสวนนั่นเอง เพราะดังที่ว่าไว้ครับ ที่นี่ต้นไม้เยอะและอากาศดี ขอชมแค่ตอนเช้า ๆ ก็พอ เพราะช่วง ชม. เร่งด่วน (Rush hour) ถึงตอนบ่ายๆ นี่ไม่ต้องพูดถึง คนเยอะ รถก็เยอะตาม ทั้งมอเตอร์ไซต์ รถเมล์และออโต้สามล้อที่ขับปาดไปปาดมา ที่นี่ดูเหมือนไม่ค่อยมีการควบคุมควันเหมือนกับเมืองไทย บางสี่แยกก็ไม่อยากเดินผ่านไปนช่วงเวลาทำงานเลย ร้อนก็ร้อนแล้วยังต้องผจญกับพอลลูชั่นอีก ซึ่งเดี๋ยวจะมาเล่าเรื่องพอลลูชั่นนี้ให้ฟังกัน เห็นว่านอกจากค่าครองชีพแล้ว เรื่องของพอลลูชั่นนี้บังกาลอร์ก็เป็นที่สองรองจากมุมไบเลยทีเดียว

ภาพจากกานดีนาการ์ ขาย DVD เถื่อนก็มี ไปซื้อวันนั้น ตํารวจลงพอดี

ช่วงเวลาทำงานของห้างร้านที่นี่ก็ตั้งแต่เวลาประมาณ 10-11 โมงเป็นต้นไป พอถึง 3 ทุ่มหรือ 4 รถก็เริ่มน้อยแล้วล่ะครับ หัวค่ำหน่อยพวกผับบาร์เล็ก ๆ น้อย ๆ ก็จะเริ่มเปิดกัน ในแถบ Brigade Road, M.G. Road, Church Street และแถว Commercial Street นี่จะมีของขายเยอะมากมีร้านเสื้อผ้าแฟชั่นสวย ๆ แบบบ้านเรา, รองเท้าผู้ชายสวย ๆ ที่มีพรีเซนเตอร์อย่างซัลมาลข่าน (Salman Khan) ดาราหนุ่มหล่อที่แต่งอะไรก็ดูดีมาเป็นนายแบบให้ มีร้าน Pizza Hut, Pizza Corner, Domino Pizza, ร้านเนสกาแฟ และห้างที่เรียกว่า Shopping Center และที่ลงท้ายด้วย Mall ก็มีเยอะมากแถวนี้ อย่างห้าง Fifth Avenue (5Th Avenue) นี้ก็เป็นอีกห้างเล็ก ๆ ห้างหนึ่งครับ ที่นี่ไม่นิยมสร้างห้างใหญ่ ๆ เดินกันเมื่อยเหมือนบ้านเรา เข้าไปก็จะมีหลายชั้น บางร้านเงินหนาก็ได้หลายคูหา บ้างก็กินทั้งชั้นก็มี หนุ่ม ๆ สาว ๆ จะมาเดินเยอะครับ มาเป็นคู่ ๆ หรือมาเป็นกลุ่ม ๆ ก็มี ในนี้จะมีร้าน Music Shop ที่ขายพวก VCD, DVD, เทปซีดีเพลง เยอะแยะมากมาย เข้าไปข้างในจะดูสดใสดีครับ มีทั้งหนังอินเดีย และหนังต่างประเทศขายเยอะ ราคาก็อยู่ที่ Rs.129 บ้างก็ Rs.499 ถ้าเป็น DVD หนังใหม่ ๆ บางเรื่อง อย่าง DVD หนังอินเดียเรื่อง Main Hoon na ที่นำแสดงโดยชารุข่านก็ขายอยู่ที่ราคา Rs.399 มีจัดโปรโมชั่นแถมโน่นแถมนี่ด้วยนะครับ ราคาหนังต่างประเทศอย่าง DVD สไปเดอร์แมน ภาค 2 ก็ Rs 499 ครับ ถ้าเป็นหนังเทศเก่า ๆ หน่อยก็จะ Rs.199 นอกจากห้างนี้แล้วก็มีห้างอื่น เช่น Tota Royal Arcade ก็เป็นอีกแหล่งรวมผู้คนอีกที่หนึ่งเหมือนกัน มีร้านอินเตอร์เน็ต Web World, Coffee World และร้านของเล่น Toy R Us ก็มี นอกจากห้างไม่ใหญ่พวกนี้แล้ว ถ้าเดินขึ้นไประหว่างทางไปตาม Brigade Road ก็จะมีอีกหลายร้าน โดยมากจะเป็นเสื้อหาและร้านอาหาร บ้างก็เป็นร้านขายของชำบ้าง และก็มีร้านขายอุปกรณ์คอมพิวเตอร์และ Software แต่ที่เห็นตามทางมีขายเป็นระยะ ๆ ก็คือไอศกรีมครับ กรวยละ 6 รูปีเอง แขกเขาชอบกินกัน สังเกตมาหลายวันแล้ว คนที่มาซื้อมีตั้งแต่เด็ก ๆ จนถึงคนแก่ก็มี เราก็เลยเอากะเขาด้วย มี 3 รสเหมือนบ้านเราคือ วนิลา, ช็อคและแบบผสม เวลาสั่งก็บอกคนขายว่า "Mix" ก็คือเอาแบบผสมกัน เดินกินไปเรื่อย ๆ กว่าจะถึง M.G Road เล่นเอาเหนื่อยเหมือนกัน เพราะมันเป็นทางลาดขึ้นเขา ตามทางมีคนเดินตระเวนขายของไม่มากเหมือนกับตลาดจันปาทที่เดลลี ที่นั้นจะตามตื้อเราจนบางครั้งรู้สึกรำคาญ ที่นี่พอมันเห็นเราหน้าขาว ๆ แรก ๆ ก็เข้ามาขาย เดินตื้อเราไม่กี่ก้าวก็หายไปแล้วครับ บ้างก็มาขายนาฬิกา, ขายงู (แกะจากไม้), แผนที่อินเดียแบบติดผนังก็มีมาเร่ขาย เรื่องแผนที่นี้ผมไปจกเอาแถวร้านหนังสือก็ได้แค่ Rs.20 เองเพราะผมต้องการแค่แผนที่ของเมืองนี้เมืองเดียวเพื่อที่จะได้เดินทางถูก ผมเริ่มรู้ตัวแล้วว่าเราเหมือนกับนักท่องเที่ยวเพราะไปสะพายกระเป๋า วันหลัง ๆ มาก็ต้องไว้หนวดและก็เดินตัวเปล่าคราวนี้ไม่ค่อยมีใครทักแล้วครับ

ปัจจุบันนี้ เมืองบังกาลอร์ได้เปลี่ยนวิธีการเดินรถให้เป็นแบบวันเวย์ (One way) ครับ แรก ๆ ก็งง แต่พอดูแผนที่แล้วลากเส้นเอาก็พอดูออกแล้วล่ะครับว่ามันวนไปยังไง และด้วยความที่มันเป็นวันเวย์ มันทำให้ผมต้องเสียตังค์เพิ่มเพราะขากลับจาก รร. มันจะต้องไปอ้อมทะเลสาป เสียถึง Rs.20 จนได้ ต้องถามพวกออโต้ว่ามีทางอื่นมั้ยที่ไม่ต้องอ้อมทะเลสาป เขาก็จะพาลัดเลาะออกตลาดโน่นตลาดนี้ สุดท้ายเสียแค่ Rs.11 เอง การบีบแตรใส่กันถือว่าเป็นเรื่องปกติของที่นี่ครับ ยิ่งในเวลา Rush Hour นี้จะเหมือนกับว่ารถทุกประเภทในอินเดียต่างพากันออกมาวิ่งกันหมดแถมยังบีบแตรใส่กันสนั่นหวั่นไหว บางครั้งผมก็สังเกตดูพวกเขาจะบีบแตรใส่กันง่ายมาก ถ้าชะลอรถเมื่อไหร่ก็โดนบีบแตรไล่เมื่อนั้น แต่เขาไม่โกรธกันนะครับ ถ้าเป็นเมืองไทยก็คงจะลงมาเจรจากันแล้วล่ะ เรามักจะบอกกันว่าการจราจรและการขับรถของคนไทยนั้นไม่มีระเบียบวินัย คือ ชอบปาดซ้ายปาดขวา ผมว่ายังธรรมดาเมื่อเทียบกับที่อินเดีย ที่นี่ขับกันเก่ง ถนนก็ไม่ค่อยมีเส้นบอก และก็ไม่ค่อยอยู่เลนตัวเองเท่าไหร่ จะออกก็ปาดออกมาพรวดเลย ใครที่ขับมาตรง ๆ ก็บีบแตรใส่ และก็หักหลบไปอีกเลน อีกทั้งคนเดินถนนก็เหมือนกัน เดินข้ามเหมือนกับเดินในห้างกันเลย แต่เขาก็ไม่ได้ข้ามกันสุ่มสี่สุ่มห้าแบบไม่ได้มองนะครับ ขอแค่มีช่องว่าง ๆ ระหว่างรถก็พรวดไปเลยไม่ต้องรอไฟแดง ถ้าเป็นเมืองไทยก็คงจะได้คุยกับตำรวจแล้วล่ะ แบบนี้เห็นที่จะต้องบอกว่า "ทำอะไรตามใจคือแขกแท้ ๆ" ผมเห็นแขกเขาทำกันหน้าตาเฉย สารภาพเลยว่าหลัง ๆ ผมก็เริ่มติดนิสัยการเดินถนนแบบนี้มาบ้างแล้วเหมือนกัน มาถึง M.G. Road กันบ้าง ตลอดแนวฟากหนึ่งของถนน M.G. Road จะเป็นลานกว้าง แต่อีกด้านหนึ่งจะเป็นตึกขายและร้านค้าต่าง ๆ มากมาย ถนน M.G. นี้ยาวมากครับ ตลอดทางจะมีร้านค้าแบบแพง ๆ เยอะมาก มีโรงหนัง, ร้านหนังสือ 3-4 ร้าน, ร้านขายเสื้อผ้า, และร้านส่าหรี DEPAM ที่ดังๆ ของเขาก็อยู่ติดถนนนี้เหมือนกัน ช่วงที่ผมไปนี้ เป็นช่วงที่เขาจัดลดราคา 40% แถวนั้นเลยคึกคัก รถเยอะเป็นพิเศษ สำหรับการหากินแถว ๆ M.G. Road นี้สบายครับ ถ้าหิว ๆ เจอร้านอาหารก็แวะเข้าไปซื้อกินได้เลย เช่น Food World หรือใน Coffee Shop ริม ๆ ถนนก็ได้ แถบแถวนี้มีของกินให้เลือกเยอะ ถ้าอยู่ที่นี่นาน ๆ แล้วมากินแถวนี้ทุกวัน เดือน ๆ หนึ่งอาจจะหมดตังค์ไปหลายบาทกับการกิน อันนี้ต้องระวังให้ดีนะครับ