วันศุกร์ที่ ๒๒ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๐

อินเดีย-19 : มาถึงอินเดียไม่พูดเรื่องหนังอินเดียคงไม่ได้

มาถึงอินเดียไม่พูดเรื่องหนังอินเดียคงไม่ได้

มาถึงอินเดีย แล้วไม่พูดถึงเรื่องหนังอินเดียก็กะไรอยู่นะครับ ถ้าตอนนี้ใคร ๆ ยังบอกว่าหนังอินเดียมีแต่วิ่งจีบกันรอบเขาหรือมีแต่แบบแต่งองค์ทรงเครื่องจักรๆ วงศ์ ๆ ทั้งเรื่อง ต้องขอซื้อเลยครับ นั่นคือหนังอินเดียที่เข้าไปฉายในเมืองไทยและคนไทยก็ชอบดูกันด้วยนะครับ แต่หนังอินเดียยุคใหม่นี่ต้องบอกเลยว่าเปลี่ยนไปเยอะ มีการผสมผสานความทันสมัยกับวัฒนธรรมเขาได้เป็นอย่างดี หนังอินเดียหลายเรื่องได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Oscar มาแล้ว ดังนั้น อย่าคิดว่าหนังเขาไม่มีคุณภาพนะครับบางเรื่องถ่ายทำในอเมริกาทั้งเรื่องก็มี อย่างเช่น Kante ที่มีดารานำอย่างอมิตาปบาจัน (Amitabh Bachan), ชันเย ดัตช์ (Sanjay Dutt) ที่นำเข้ามาฉายในเมืองไทยโดยใช้ชื่อไทยว่า "6 เดือด" ไงครับ หนังเรื่องนี้พูดภาษาอังกฤษกันทั้งเรื่อง จึงทำให้มีความเป็นสากลและได้รับการยอมรับอย่างมากทั้งในประเทศและต่างประเทศ

ซึ่งถ้าพูดถึงรายได้แล้วก็คงจะมหาศาลน่าดู เพราะตั้งแต่ก่อนปี 2000 เป็นต้นมา อุตสาหกรรมภาพยนตร์อินเดีย หรือที่เรียกกันว่า Bollywood เติบโตอย่างมากในตลาดโลก ภาพยนตร์เป็นพัน ๆ เรื่องถูกนำออกฉายในต่างประเทศ และยังจำหน่ายในรูปแบบ VCD, DVD อีกด้วย ภาพยนต์เรื่องหนึ่ง ๆ ของเขาจะใช้งบประมาณในการถ่ายทำประมาณ 1-3 พันล้านเหรียญสหรัฐ และศูนย์กลางของการถ่ายทำภาพยนต์นั้นก็คือเมืองบอมเบย์ (Bombay) หรือที่เปลี่ยนเป็นชื่อใหม่ว่า "มุมไบ" (Mumbai) นั่นเอง ซึ่งคำว่าบอลลี่วู้ด (Bollywood) นั้นก็คงมาจากการใช้ตัว B ของชื่อเมืองมาเลียนแบบคำว่า Hollywood ผมคิดว่าเป็นอย่างนั้น

อาจารย์ที่ผมได้คุยเรื่องภาษาอังกฤษท่านก็มาจากมุมไบ ผมถามแกว่าทำไมไม่กลับไปอยู่มุมไบ แกบอกว่าเป็นเมืองที่มีค่าครองชีพสูงเป็นอันดับหนึ่ง ซึ่งที่สองก็คือบังกาลอร์นี่เอง ผมบอกว่าอยากไปเที่ยวมุมไบบ้าง แกก็ว่าถ้าจะไป making business ให้ไปมุมไบ แต่ถ้าอยากไปเที่ยว แกก็แนะนำให้ไป Goa ดีกว่าเพราะเป็นทะเล สวยมาก แกไปมาและก็เอารูปมาให้ดู สะอาดน่าไปเที่ยวมากเลย แต่ผมก็ไม่วายบอกแกไปว่าถ้าอยากเห็นทะเลสวย ๆ แบบนี้ต้องไปเที่ยวเมืองไทย เพราะเมืองไทยนี่โดดเด่นและเป็นที่รู้จักกันทั่วโลกในเรื่องของสถานที่ท่องเที่ยว ผมสัญญากับแกไว้ว่าพอกลับมาเมืองไทยแล้วจะส่งรูปทะเลของกระบี่ไปให้แกทาง Email เผื่อแกจะอยากมาเที่ยวบ้าง

มาถึงภาพยนตร์กันต่อดีกว่า ภาพยนต์อินเดียที่ถ่ายทำกันนั้นมีแบ่งออกเป็นหลายภาษา เพราะแต่ละภาษาก็มีภาษาท้องถิ่นของตัวเองเข้าไปอีก เช่น Kanada, Bangla, Telagu, Tamil, Hindi หรือ Marathi ซึ่งเรื่องของการดูภาพยนตร์ในโรงหนังแขกนี้จะมาเล่าให้ฟังในช่วงหลังอีก ฟังมาแค่นี่แล้วก็คงจะเห็นถึงความอลังการของอุตสาหกรรมภาพยนตร์เขาแล้วนะครับ คนอินเดียเขาสนับสนุนภาพยนตร์ของเขาเอง เพราะเอกลักษณ์ของภาพยนตร์อินเดียอย่างหนึ่งก็คือการร้องเพลง และนั่นคือสิ่งที่ผมสงสัยมาตลอด เคยถามเจ้าของร้านหนังแขกที่พาหุรัดว่าทำไมหนังอินเดียจะต้องมีเพลงสลับกันไปตลอดเรื่อง แกก็บอกว่าถ้าไม่มีเพลงหนังก็จะขายไม่ออกสิ... ผมก็พกเอาคำถามนี้มาถามคนอินเดียที่นี่จริง ๆ เลย คนนั้นไม่ใช่ใครที่ไหนครับอาจารย์ของผมเอง แกบอกว่าคนอินเดียเวลาดูหนังก็อยากสนุกสนาน อยากดูอะไรที่เป็น Entertainment ใครจะเข้าไปแล้วออกมาเครียด ๆ ล่ะ.. เอ้อ... ผมก็ว่าจริง อันนี้จึงเป็นเหตุผลหนึ่งที่จะต้องมีเพลงซึ่งทำให้หนังขายได้ แกบอกว่านาน ๆ จะมีหนังอินเดียที่ไม่มีเพลง อย่างเช่นเรื่อง Black นำแสดงโดยราณี มุคเฮอจีกับอมิตาป เรื่องนี้ไม่มีเพลง แต่ก็ได้รับความนิยมอย่างมาก และถึงแม้ว่าจะเป็นหนังแอคชั่นตามล่าบู๊ล้างผลาญกันทั้งเรื่อง แต่ก็ยังอุตส่าห์มีเพลงโผล่ออกมาอีกจนได้

ผมเคยดูอยู่เรื่องหนึ่งนั่งดูจนจบ CD แผ่นแรกแล้วยังไม่มีแววว่าจะมีเพลงเลยเพราะไม่มีบทจีบ กันกะว่านี่คงเป็นหนังอินเดียเรื่องแรกที่ไม่มีเพลง ที่ไหนได้พอขึ้นแผ่นสองเท่านั้นล่ะ พระเอกฝันว่าได้เต้นรำกับสาวสวยนั่นล่ะครับ 1 เพลงของหนังเรื่องนั้น เมื่อพูดถึงหนังแอ็คชั่นแล้วก็ขอเล่าต่ออีกสักหน่อย หนังแอ็คชั่นของอินเดียนี้พระเอกจะเก่งกว่าปกติ เพราะความเป็นจริงทำไม่ได้ถึงขนาดนั้น แต่ในหนังทำได้ ถ้าใครได้ดูอาจจะบอกว่าโอเว่อร์ แต่ก็สนุกไปอีกแบบ เช่น ถีบทีเดียวกระเด็นไปชนกระจกรถแตกกระจายก็มี หรือ ตัวร้ายยิงมาหลายนัด ไม่โดนพระเอกสักนัดเลย แต่พอพระเอกยิงโป้งเดียวจอดเลยก็มีให้เห็นบ่อย ถ้าจะลองหามาดูมันส์ ๆ ก็น่าสนใจนะครับ อีกเรื่องหนึ่งที่ต้องพูดก็คือเรื่องของดาราอินเดีย ถ้าเป็นดาราชายจะใช้คำว่าหล่อก็คงจะไม่พอ ขนาดผู้ชายด้วยกันอย่างผมก็ยังคิดเลยครับว่าเขาเกิดมาเพื่อเป็นดาราโดยเฉพาะ ดาราอินเดียบางคนขึ้นทำเนียบผู้ชายที่หล่อที่สุดเป็นอันดับต้น ๆ ก็มี (อันดับ 7 ของโลก Salman Khan) ที่นี่เขาเรียกว่าเป็น Well-dressed Man คือ ผู้ชายที่แต่งตัวยังไงก็ดูดี

ยิ่งถ้าเป็นดาราผู้หญิงด้วยแล้วจะว่าสวยก็คงไม่พอ เพราะขนาดคว้ารางวัลนางงามมาหลายเวทีแล้วก็มีให้ได้ยินบ่อยไป เช่น Ashawarya Rai หรือ Samenta Sen นอกจากนี้ยังมีดาราอีกหลาย ๆ คนที่ขนาดคนไทยบางคนยังพูดเลยว่า "สวยถึงขนาดถ้ามองมาทางเขาก็แทบจะตกเก้าอี้กันเลย" ก็มี แต่ถ้าเรามาเดินตามถนนอาจจะไม่เห็นสาวอินเดียที่สวยระดับดาราบ่อยนัก

อยู่บังกาลอร์นี่ผมเดินถนน M.G. กับ Brigade อยู่ทุกวัน เจอสาวแขกที่สวย ๆ ตามคม ๆ จมูกโด่งแบบระดับดาราก็นับครั้งได้ แต่ถ้าท่านอยากรู้ว่าสวยแค่ไหน ลองหาหนังอินเดียมาดูสักเรื่องสิครับ นอกจากนี้ มนต์เสน่ห์ของหนังอินเดียไม่ได้อยู่ที่ดาราอย่างเดียวครับ ประเพณีและวัฒนธรรมของเขาก็ไม่ต่างไปจากเรา และบอกได้ว่าเขาให้ความสำคัญกับสถาบันครอบครัวมาก และก็ไม่ค่อยมีหนังอินเดียที่ทำออกมาในแนวเซ็กซ์โจ่งครึมหรือเชิงยั่วเย้าอารมณ์ออกมาให้เห็น จะมีก็แต่การเต้นที่จะแต่งตัวกันอร้าอร่ามและแดนซ์กันอย่างสุดเหวี่ยงตามจังหวะเพลง ก็อาจเป็นไปได้ว่าสังคมของเขาไม่ยอมรับในเรื่องนี้ ซึ่งก็แปลกนะครับที่สังคมไทยกลับรับเรื่องนี้กันได้ หนังที่เกี่ยวกับเซ็กต์ที่ผลิตโดยคนไทยหรือนำเข้าจากต่างประเทศที่พูดถึงแต่เรื่องบนเตียงทั้งเรื่องก็มีมาให้เห็นกันบ่อย และเด็ก ๆ ที่เป็นเยาวชนก็ยังสามารถตีตั๋วเข้าไปดูหรือหาซื้อ CD มาดูได้อีก เราก็ไม่รู้นะครับว่าอนาคตของเยาวชนจะเป็นอย่างไร แต่ถ้าคนไทยจะยอมรับกันได้หรือทำเป็นเอาหูไปนาเอาตาไปไร่กับเรื่องพวกนี้ได้แล้วจะไปแก้ไขเอาดาบหน้ากันก็ตามใจ

มาฟังเรื่องหนังอินเดียกันต่อดีกว่า ผมจะเล่าให้ฟังถึงเนื้อเรื่องของหนังอินเดียบางเรื่องที่สอนให้รู้จักรักครอบครัว รู้ผิดชอบชั่วดี และสอนให้รู้ถึงหัวอกพ่อแม่ อย่างเรื่อง Saathiya ก็เป็นเรื่องของหนุ่มสาวที่แอบหนีไปแต่งงานกันอยู่กินกัน โดยที่พ่อแม่ไม่ยอมรับ ทัดทานก็แล้วแต่ไม่ฟัง นำแสดงโดยราณี มุกเฮอจีกับวิเวก โอเบอรอย เรื่องนี้สอนได้ดีเลยครับ เพราะฝ่ายหญิงตัดสินใจไปอยู่กับผู้ชายโดยออกจากบ้านไปทั้ง ๆ ที่ไม่รู้ว่าเราเข้ากันไม่ได้ ผู้ชายกลายเป็นคนอารมณ์ร้อนและไม่รู้จักทนุถนอมความรักจนกระทั่งเกือบจะสูญเสียคนรักไป หนังเรื่องนี้ถ้าจำไม่ผิดมีบริษัทของคนไทยเอามาพากย์ไทยจำหน่ายแล้วครับ ลองหาดูตามร้านขาย CD หนังอินเดียได้ ตอนจบก็ Happy Ending ครับ

สำหรับอีกเรื่องหนึ่งที่ฮือฮาในวงการหนังแขกของไทยนำแสดงโดยดาราเจ้าบทบาทอย่างคาโจล, อมิตาบ, ชารุข่าน, การีน่า และหรีติกก็คือ "Khabi Khushi Khabi Gham" ซึ่งเกี่ยวกับเรื่องความรักของพ่อและแม่ คนไทยหลาย ๆ คนที่เคยดูจะต้องบอกต่อกันว่า ถ้าใครที่ดูหนังเรื่องนี้แล้วไม่ร้องไห้นะ ให้มาว่ากันได้เลย เนื่องเรื่องจะเกี่ยวกับความรักและความผูกพันของครอบครัว ซึ่งได้แยกแตกกัน แต่ความสัมพันธ์ของแม่ลูกนั้นยังตามติดถึงกันอยู่เสมอ เพราะฝีมือการแสดงของดาราทุกคนนั้นเข้าถึงอารมณ์ของคนดูจนแทบจะคล้อยตามไปได้เลย สุดท้ายหนังก็จบแบบแฮปปี้เอนดิ้ง

สำหรับหนังที่ให้คติสอนใจก็มีหลายเรื่อง เช่น Munna Bhai นำแสดงโดยซันเจ ดัต (Sanjay Dutt) เป็นเรื่องของคน ๆ หนึ่งที่บอกพ่อแม่ว่าจะเข้ามาเรียนหมอ แต่กลับมาเป็นมาเฟีย จับคนมาเรียกค่าไถ่ พอพ่อแม่รู้เข้าก็เสียใจ ทำให้เขาต้องหาทางไปเรียนและจบมาเป็นหมอให้ได้โดยการโกงข้อสอบเข้าไป แต่สุดท้ายเมื่อเพื่อนตัวเองที่เป็นคนไข้กำลังจะตายและต้องการให้เขาช่วย เขากลับทำอะไรไม่ได้เลย เพราะไม่มีความรู้ด้านการแพทย์ จึงมองดูเพื่อนตัวเองตายไปต่อหน้าต่อตา ด้วยความเสียใจ เขาเลยรับสารภาพและบอกความจริงกับทุก ๆ คนในโรงพยาบาล และสุดท้ายหนังเรื่องนี้จบลงอย่างมีความสุขกันพร้อมหน้าทุกคน

สำหรับดาราที่คนไทยชอบกันมากก็เห็นจะเป็นชารุข่าน (พระเอกอโศกมหาราช) ที่อินเดียนี่ก็ถือว่าเป็นระดับซุปเปอร์สตาร์คนหนึ่งเลยทีเดียว ตอนที่ผมอยู่นี้ก็มีหนังชารุข่านออกมาหลายเรื่อง และก็มีช่วงหนึ่งที่ชารุข่านมาบังกาลอร์ มาเปิดการแสดงและก็มีดาราหลาย ๆ คนมาร่วมจอย อย่างเช่น Zayed Khan หรือ Lara Dutta ก็มาด้วย ได้ข่าวถึงขนาดที่ Chinanaswamy Stadium ไม่มีที่นั่งและที่ยืนกันเลย บางคนซื้อตั๋วมาแล้วแต่ก็ไม่ได้เข้า และราคาตั๋วนี่ก็แพงมากจนเหลือเชื่อ นอกจากนี้ ชารุข่านก็มาเป็นผู้กำกับหนังเรื่อง KAAL กับการันโจฮา ซึ่งเกี่ยวกับการผจญภัยในป่าก็ออกมาในช่วงนี้ด้วย ถ้าสนใจก็ลองหาซื้อมาชมได้

การหาซื้อหนังอินเดียในบังกาลอร์นี้ไม่ยากครับ เพราะข้าง ๆ ทางหรือในห้างก็จะมีร้านขายกันเยอะ เช่นร้าน Music World เป็นต้น แต่เราคงฟังภาษาฮินดีไม่ออกแน่นอน เลยต้องหา DVD ที่มี Subtitle เป็นภาษาอังกฤษมาแทน เปิดดูกับคอมพิวเตอร์ก็ได้ ถ้าหนังใหม่ ๆ ก็จะอยู่ที่ Rs.499 ถ้าหนังหลายปีมาแล้วก็ราคา Rs.299 หรือ Rs.199 ก็มี เป็นมาสเตอร์แท้ ๆ ไม่มีแผ่นปลอมมาวางขายกัน และพอหนังออกมาเป็น VCD/DVD ก็จะมี CD และเทปเพลงออกมาด้วย ใจหนึ่งผมก็อยากซื้อหนังมาดู เพราะอย่างน้อยดูได้หลายครั้ง แต่คิดไปคิดมา DVD มันแพงจังเลย อยากไปแบบว่า Copy น่ะ...มีมั้ย... ไม่กล้าไปถามใคร เราก็ไม่คิดว่าที่อินเดียจะมีพวก Copy กันหรอก จนกระทั่งไปเดินเที่ยวที่ Ghandi Nagar แค่นั้นล่ะจึงได้รู้ว่าที่นี่ก็มีแหล่ง CD/DVD เถื่อนเหมือนกัน ไม่อยากพูดมาก เดี๋ยวจะหาว่าแนะนำ แต่ก็ขอสักหน่อยแล้วกัน ถ้าไปเดินเที่ยวที่ Ghandi Nagar แถบ ๆ Sapna Book house (บอกให้ออโต้พาไปก็ได้) แถว ๆ นั้นจะมีหลายตรอก มีร้านขายเครื่องเล่น CD/DVD ราคาถูก แต่ไม่แน่ใจคุณภาพนะคับ ผมเคยไปดูที่บ้านเพื่อน ยี่ห้อแปลก ๆ ดู ๆ ไปติดขัดตลอดเรื่องก็มี หัวอ่านที่เขาใช้อาจจะไม่ได้มาตรฐานเหมือนบ้านเรา แต่บางร้านก็เป็นสินค้านำเข้าครับ ลองทายสิครับว่านำเข้าจากประเทศไหน? ….. คำตอบก็คือ Bangkok ครับ นำเข้าจากบ้านเรานี่เอง และแถว ๆ นี้ก็จะมีหลาย ๆ ร้านขายเสื้อผ้า ข้าวของเครื่องใช้ และก็ร้านขาย VCD/DVD หนังให้เลือกเยอะมาก มีทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นหนัง DVD อินเดีย, หรือหนัง Hollywood แบบว่ารวมทุกเวอร์ชั่น เช่น หนังของจิมแครี่ 3 เรื่องใน 1 แผ่น, Harry Potter 3 in 1 หรือบางแผ่นเป็นแผ่นรวมหนังบู๊ทั้งแผ่น ผมยังเห็นเรื่ององค์บากของไทยเลย เอามาขายที่นี่ด้วย ต้องบอกว่าหนังไทยเรื่องนี้สุดยอดและโดดเด่นมากครับ การไปเลือกซื้อแผ่น DVD แบบนี้ก็ตัวใครตัวมันนะครับ เลือกกันเอาตามใจชอบ (อย่าบอกว่า "ผมบอก" นะครับ) ถ้าบอกราคาต่อแผ่นไปก็คงจะตกใจ แผ่นละไม่เกิน Rs. 150 ครับ....

การดูหนัง DVD อินเดียหรือหนังฝรั่งเพื่อฝึกการอ่าน Subtitle จากหนังแขก หรือจะฝึกฟังสนทนาจากหนังฝรั่งก็ช่วยพัฒนาภาษาของท่านได้เป็นอย่างดี เพราะด้วยความที่อยากรู้ว่าเขาพูดว่าอะไร เรื่องมันจะเป็นยังไงต่อ พระเอกจะบอกความจริงกับนางเอกหรือเปล่าเขาจะได้เลิกเข้าใจผิดซะที แบบนี้ถ้าฝึกบ่อย ๆ จะช่วยให้เราอ่านจับใจความได้เร็วขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ ถ้าอยู่เมืองไทยจะลองไปหาซื้อหนังอินเดียแบบ English Subtitle จากพาหุรัดก็ได้ครับ มีให้เลือกหลายเรื่อง แต่ถ้าดูแล้วติดใจเลิกดูหนังฝรั่งไปเลยก็อย่ามาว่ากันนะ