วันพฤหัสบดีที่ ๒๑ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๐

อินเดีย-07 : ถ้าอยู่ที่นี่อดตายก็อย่าไปอยู่ที่อื่น

ถ้าอยู่ที่นี่อดตายก็อย่าไปอยู่ที่อื่น

เอาล่ะมาถึงเรื่องของอาหารการกินกันบ้าง เรื่องนี้ต้องพูดครับ เพราะถ้าคนไทยมาอยู่ที่นี่แล้วทานอาหารอินเดียไม่ได้ ก็ต้องพึ่งอาหารรฝรั่งกันล่ะครับ แถบ Brigade กับ M.G นี่มีของกินเยอะ พิซซ่าเอย อาหารจีนอาหารฝรั่งก็มี ถ้ากินพวกพิซซ่า, KFC ทุกวันตังค์หมดเอาง่าย ๆ เหมือนกัน คนขายที่นี่โดยมากจะเป็นผู้ชายครับ ไม่ค่อยเห็นผู้หญิงออกมาขายเท่าไหร่ ยิ่งวันแรก ๆ นี่หิวโซจนแทบจะกินแขกที่เดินข้าง ๆ ได้แล้ว เพราะเดินตระเวนหาซื้อตำหรับตำราเพลิน สี่โมงเย็นก็นัดเจอน้องหมี, น้องปุ๊และน้องมุนน่าเพราะจะไปช็อบปิ้งกันที่ Commercial Street ก่อนไปก็เข้าไปหาอะไรกินที่ร้าน American Corner สั่งข้าวผัดใข่ใส่มากิน พอเอามาเสริฟให้เท่านั้นล่ะ โอ้โห ดู ๆ ไปชามก็ไม่ใหญ่มาก แต่ข้าวผัดไข่นี้อัดมาแน่นเลย พอแบ่งออกมาก็ฟูเต็มจานเลยครับ ส่งต่อให้น้อง ๆ ก็ไม่มีใครช่วยผมเลย แต่ด้วยความที่หิวโซเลยซัดจนหมด จานนี้ 38 รูปีครับ และต่อจากนั้นก็ไม่ได้กินอะไรอีกจนถึงตอนดึกเพราะอิ่มมาก ก็นี่ล่ะครับถึงบอกว่าอาหารมีให้กินเยอะ อาหารที่คนไทยอย่างเรา ๆ กินได้ก็มีอยู่เยอะ และที่สำคัญปรุงสุขและสะอาดครับ แบบนี้ต้องพูดว่าถ้าอยู่แถว Brigade Road กับ M.G Road แล้วอดตายล่ะก็ อย่าไปอยู่ที่อื่นเลยดีกว่า

อยู่ที่นี่สิ่งที่อยากกินเป็นอันดับแรกก็คือน้ำเปล่า แรก ๆ ผมซื้อน้ำเปล่ายี่ห้อ Aquafina ของ Pepsi ขนาด 1 ลิตรมากิน ขวดละ 12 รูปี วันหลัง ๆ ไปเดินหาที่ซุปเปอร์มาเก็ต Food Word (ที่ M.G. Road) ได้มาขวดละ 2 ลิตร ยี่ห้อ Kinley ของ Coca Cola ขวดละ 18 บาท แบกกลับห้องพักทีละ 3-4 ขวด งานนี้แขนโตเลย น้ำอัดลมก็มีนะครับแต่จะไม่กินพร่ำเพรื่อขวดขนาด 0.5 ลิตรราคาจะอยู่ที่ 18 บาท แต่ถ้าท่านเดินหาดี ๆ จะเจอกับน้ำดื่มถังใหญ่ ๆ ขนาด 5 ลิตร ราคา Rs.45 ถ้ากินหมดแล้วอย่าทิ้งขวดนะครับ เพราะเอามาแลกซื้อขวดใหม่ได้ในราคา Rs.30 ซึ่งจะถูกกว่าการซื้อน้ำขวด 2 ลิตรมาก หรือถ้าแถว ๆ บ้านมีน้ำเป็นถัง ๆ อันนี้ก็ซื้อได้ แต่ต้องดูดี ๆ ระวังเจอพวกชอบโกงบางทีจะบอกว่าน้ำหมด กำลังรออยู่ และก็เอาน้ำก๊อกใส่ถังมาให้เราแทน เพื่อนคนไทยที่เรียนด้วยกันเจอมาแล้ว

และก็อีกครั้งกับเหตุการณ์หิวโซอีกแล้ว เดินช็อปมาหลายที่ หิวก็หิว จะหากินในห้างก็ราคาสูง เลยจับรถกลับมาที่ถนน Brigade ขอกลับมาตายรังดีกว่า โชคดีที่เหลือบไปเห็นหน้าซอยเข้าบ้านพักมีหม้อใหญ่ ๆ และมีคนกำลังซื้ออยู่ 3-4 คน เข้าไปชะโงกดูปรากฏว่าเป็นข้าวหมกไก่ครับ หรือ Chicken Biriyani แค่นั้นล่ะ เอามาเลยหนึ่งห่อ Rs.20 ครับ ก็ถามว่าขายทุกวันหรือเปล่า เขาก็ว่าขายทุกวัน บ่าย ๆ จะเป็นข้าวหมกไก่ แต่ดึก ๆ ประมาณ 2 ทุ่มจะเป็นข้าวผัดไข่ เขาก็ตักใส่ห่อมาให้แบบห่อบะหมี่เกี้ยวบ้านเราน่ะครับ มีกระดาษและแผ่นพลาสติกรองเรียบร้อย ดูจากสภาพภาชนะแล้วสะอาดใช้ได้และที่สำคัญคือกำลังร้อน ๆ เลย ตักใส่ห่อมาให้เหมือนกับว่ากลัวขายไม่หมด แกให้ไก่มา 2 ชิ้น เป็นอกกับน่องพร้อมกับหอมแดงซอยและน้ำราด ที่นี่ไม่ใช้หนังยางรัดนะครับ แต่จะมัดด้วยด้ายเส้นเล็ก ๆ พอเอากลับมากินที่ห้องพัก เปิดออกมาดูข้าวฟูเต็มห่อเลย กินไม่หมดอีกแล้ว ต้องแบ่งไว้กินตอนเย็นกับตอนดึกด้วย กินร้อน ๆ อร่อยดีครับ จะอร่อยเพราะเราหิวหรือเขาทำอร่อยก็ไม่รู้ล่ะ แต่ที่รู้ ๆ ผมฝากท้องกับแขกหน้าซอยนี้ได้แน่ ๆ คงไม่ต้องเดินไปกินไกล ๆ อีกแล้ว พอรู้อย่างนี้ดึก ๆ สักหนึ่งทุ่ม ผมก็มักจะเดินอาด ๆ ออกมาซื้อข้าวผัด (Fired Rice) หรือไม่ก็ไก่ทอด (Fired Chicken) ที่เรียกว่ากะบับ (Kabab) ที่ร้านใกล้ ๆ กัน ไก่ทอดของเขาจะใส่เครื่องเทศหอม ๆ ไม่ฉุนและไม่เผ็ดอย่างที่คิดไว้ กินครั้งแรกแล้วติดใจเลยครับ เพราะเป็นไก่ชิ้นอกหั่นเป็นท่อน ๆ ทอดกรอบ ๆ ที่สำคัญคือนุ่มมากไม่รู้ว่าเขาหมักอย่างไร ไก่ทอดนี้เขาก็ขายทีละ 100 กรัมก็แค่ Rs.12 ได้มาประมาณ 5-6 ชิ้น มัดใส่ห่อมาให้พร้อมหอมแดงซอยและมะนาวอีกครึ่งลูก จินตนาการนะครับไก่ทอดร้อน ๆ บีบมะนาวแกล้มหอมแดงกินกับข้าวผัดไข่จะอร่อยเหาะขนาดไหน อันนี้ต้องมาชิมเองนะครับ พอไปซื้อกินบ่อย ๆ เข้าหลัง ๆ คนขายเห็นผมเดินมาชูนิ้วชี้เขาก็รู้แล้วว่าอาตี๋นี้เอาข้าวผัด 10 รูปี โดยมากจะใส่ห่อมากินที่บ้าน และการสั่งใส่ห่อในวันแรกนี้ก็ไม่ง่ายนัก เพราะจะพูดว่า Pack ก็คงจะไม่ตรงนัก เลยต้องใช้ "Take home 10 Rupee" แบบนี้ค่อยรู้เรื่องกันหน่อย หรือใช้คำว่า Parcel (พ้า-ซึ่ล) ก็เป็นที่รู้กันว่าเอากลับบ้านนั่นเอง

THIS IS CHICKEN BIRIYANI.... SO NICE TASTE

นอกจากร้านที่ว่านี้ก็ยังมีอีกหลายที่ครับในถนน MG. กับ Brigade ยิ่งถ้าเดินเข้าไปในตรอกเล็ก ๆ ที่ขายเสื้อผ้าแถว ๆ Commercial Street ก็จะมีขายไก่ทอดหรือจะเป็นผักชุบแป้งทอด เขาจะเอาพวกมันฝรั่ง, พริกหวาน, กล้วยเอามาชุบแป้งทอดกรอบ ๆ ชิ้นละ 1-2 รูปี เดินไปกินไปอิ่มแทบจะไม่ต้องกินข้าวเย็นเลย ถ้าไปเดินเที่ยวที่ไหนไกล ๆ ก็มองหาร้านพวกนี้ไว้ครับ เขาเห็นเราเดินเข้าไปถามเขาก็ชอบใจแล้วล่ะและก็ไม่โกงเราด้วยนะ ไม่ใช่ว่าขายแขกด้วยกันชิ้นละ 1 รูปี แต่เขาเรา 2 รูปีแบบนี้ไม่มีให้เห็นครับ พูดเรื่องของกิน ยิ่งพูดยิ่งไม่จบเพราะมีอะไรให้เลือกเยอะ ที่บังกาลอร์นี้ไม่มีร้านเซเว่นหรือโลตัสให้เห็น แต่จะมีพวกซุปเปอร์มาเก็ตเช่นที่ Food World ซึ่งอยู่ติดกับ M.G Road หรือที่ Nilgiris ที่อยู่บน Brigade Road ที่ Nilgiris นี้เปิดให้บริการมานานมาก ปีที่ผมไปเขากำลังฉลอง 100 ปีพอดี จะมีอาหารสำเร็จรูปหลายอย่าง ขนมนมเนย, แยมและอาหารแห้ง ผลไม้สดเช่นส้มหรือสตอเบอรี่นี้ก็ไม่แพงกล่องละไม่ถึง 50 รูปี

สำหรับนมสดที่นี่มีเยอะครับ ยิ่งผมเป็นคนชอบดื่มนมอยู่แล้ว ถ้านมสดที่เพิ่งรีดใหม่ ๆ ก็มีแต่ต้องออกไปหาไกล ๆ แต่ถ้าเป็นถุงขายตามร้านก็มี แต่ต้องดูให้ดีนะครับบางยี่ห้อเป็นนมที่ทำจากเนยเขาจะใส่ Masara ถ้าเอามากินล่ะก็จี๊ดขึ้นคอเลย ถ้าให้ดีไปซื้อจากซุปเปอร์ดีกว่า มองหานมกล่องที่มีรูปวัวหรือวัวแลบลิ้นน่ะครับ เป็นนมที่ผ่านการพาสเจอไรซ์แล้วขายเป็นกล่อง 1 ลิตร มีหลายยี่ห้อครับ อย่างนมของ Nestle นี้รสชาติก็ไม่ต่างจากบ้านเรา ราคาอยู่ที่ Rs.30 แต่ยี่ห้อที่ผมชอบซื้อก็คือ Amul Shakti ราคาอยู่ที่ Rs.24 มีทั้งแบบพร่องมันเนยกับธรรมดา แต่ก็มีนมประเภทที่เรียกว่า Curd คือ นมข้น ๆ เหนียว ๆ แบบโยเกิร์ต ตักกินได้เลย ใครชอบแบบนี้ก็ซื้อมากินได้ หรือถ้าจะให้ถูกหน่อยก็หานมถุงละ Rs.7 จะได้มาครึ่งลิตร หาซื้อตามร้านได้ มีขายเยอะครับ แต่จะต้องเอามาต้มก่อนพอเย็นแล้วก็กินได้เลย หรือจะไปเอาไปทำเป็นชาร้อนกาแฟร้อนก็ได้ครับ

จะเล่าอะไรให้ฟัง ไอ้เรื่องนี่ล่ะ เล่าไม่อายเลย ไปซื้อนมมา อยากกินมาก เลยได้มาถุงหนึ่ง Rs.7 กินไป เอ้อ อร่อยนะ สักพักเข้าห้องน้ำเลย จู๊ดเลย ก็คิดว่า เอ... สงสัยคงจะปกติ พอกินอีก เป็นอีกแล้ว เหมือนเดิมเลย.. อะไรเนี่ย... วันรุ่งเช้าไปหาคนขาย ถามว่านมแบบเนี้ย กินได้เลยมั้ย เขาก็ว่าไม่ได้ ต้องต้มก่อน นั่นไง เจอต้นเหตุแห่งทุกข์แล้ว... ชัดเลย อีเมื่อวานที่เข้าห้องน้ำก็เพราะอีกแบบนี้นี่เอง เพราะนมที่ซื้อเป็นถุงๆ 7 บาทนี่เขาจะเอาไปต้มกิน หรือต้มทําเป็นชาร้อนกัน โถ่ถังโถ่ปิ๊ป ใครจะไปรู้ หลังๆ ถ้าอยากกินนมแบบเปิดกล่องกินได้เลย ก็ต้องไปหาแบบพาสเจอไรซ์แทน จึงกินได้โดยไม่ต้องต้มไงครับ...

ถ้าเป็นขนมปังสไลด์แบบบ้านเราก็มี ขนมปังที่ผสมผักก็มีครับ เอามากินกับแยมผลไม้ขวดละไม่กี่บาทก็อิ่มได้เหมือนกัน ถ้าอยากกินน้ำส้มก็ซื้อกล่อง 1 ลิตร ประมาณ 40 รูปีกว่าๆ บ้างก็ 60-70 เท่ากับบ้านเราแล้วแต่ยี่ห้อ แต่มียี่ห้อของไทยด้วยนะครับไปขายที่นั่น ซื้อไม่ลงเลยเพราะค่อนข้างแพง ของที่นำเข้ากับเครื่องใช้ไฟฟ้าจะค่อนข้างแพงถึงแพงมาก อาจจะเป็นเพราะว่าโดนภาษีไปจนจุกก็เป็นได้ และเท่าที่สังเกตมาการตั้งราคาของจะไม่ค่อยมีส่วนลดเท่าไหร่นัก เช่น ถ้าเราซื้อนมกล่องบ้านเรากล่องละ 30 บาท ถ้าซื้อยกแพ็คก็จะได้ส่วนลดใช่มั้ยครับ แต่ที่นี่ถ้าซื้อยกแพ็คก็ได้เหมือนกัน แต่จะลดได้แค่ 1-2 บาทเท่านั้น บางอย่างก็ไม่ลดเลย ถ้าจะให้ดีต้องไปเดินซื้อที่เขาจัดโปรโมชั่น แบบว่าซื้อ 3 กล่องลดเหลือกล่องละ 42 รูปีก็มี ถ้าไม่อยากออกไปเดินหาอาหารทุกมื้อ

การทำอาหารเองในห้องพักนั้นก็ไม่ยากครับ เพราะที่นี่มีวัตถุดิบเยอะ ไม่ว่าจะเป็นข้าวสาร, เส้นก๋วยเตี๋ยว, มักกะโรนี, ผักสด, หอมใหญ่, มะเขือเทศ, กระหล่ำปลี, และก็เครื่องเทศพวกพริกไทย และก็ผงโน่นผงนี่มีเยอะไม่รู้จักสักอย่าง ่านก็เตรียมพวกหม้อเล็ก ๆ หรือกระทะแบบเสียบปลั๊กไปด้วยจะสะดวกมากเวลาทำอาหาร สำหรับอาหารประเภทผักนี้จะทำได้ง่าย ไม่ว่าจะเป็นผัดผัก, ซุปผัก หรือถ้าต้องการเนื้อไก่ก็ไปหาตามซุปเปอร์มาเก็ตได้ จะมีขายเป็นแพ็ค ๆ สะอาดเหมือนบ้านเราครับผักผลไม้ที่นี่ขายไม่แพงและสดอีกด้วย ส่วนมากจะคนอินเดียที่เป็นมังสะวิรัติ (Vegetarian) เยอะ ผักผลไม้ก็เลยสดเป็นพิเศษ อย่างหอมใหญ่ที่นี่ เขาจะมัดเป็นถุง ๆ ลูกเล็กใหญ่คละกันถุงละ 1 กิโลก็ Rs.16 ถ้าเป็นมะเขือเทศก็เหมือนกันราคาถูกหน่อย Rs.6.50 พริกไทยแบบถุง 100G ที่นี่ถุงละ Rs.39 รวม ๆ แล้วก็ดีกว่ากินพิซซ่าทุกมื้อ ได้รสแบบไทย ๆ อีกด้วย แต่เวลาทานทำอาหารไทยกินเองที่อินเดีย อย่าลืมเอาน้ำปลาไปด้วยนะครับ ที่อินเดียเขาใช้เกลือกัน ท่านจะได้ไม่พลาดน้ำปลาพริกไงล่ะครับ