วันพฤหัสบดีที่ ๒๑ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๐

อินเดีย-22 : เรียนอังกฤษในต่างแดนให้ได้ผล

เรียนอังกฤษในต่างแดนให้ได้ผล

ถ้าได้มีโอกาสมาเรียนภาษาแล้ว จะต้องเอาให้คุ้ม อย่างแรกเลยคือเตรียมตัวให้พร้อม ไม่ต้องไปเปลี่ยนนิสัยการทานอาหาร ไม่ใช่ว่าการกินแฮมเบอเกอร์ทุกมื้อจะช่วยให้การเรียนภาษาเราดีขึ้นนะครับ เราจะต้องฝึกบ่อย ๆ ดูแบบพิมพ์ดีดสิครับ พิมพ์แรก ๆ ก็ช้า ติดบ้าง แต่สักพักก็จะดีขึ้นเอง ถ้าเราฝึกบ่อย ๆ หาโอกาสบ่อย ๆ ก็จะช่วยให้พัฒนาการด้านภาษาไปไวขึ้น ผมมีเทคนิคเล็ก ๆ น้อย ๆ มาฝากจากอินเดีย เป็นเทคนิคที่จะช่วยให้ท่านมีความมั่นใจในการใช้ภาษามากขึ้น

1. หาโอกาสพูด

ถ้าท่านได้ลองไปสัมผัสชีวิตเรียบง่ายของคนอินเดียแล้ว ก็จะพบว่าเห็นหน้าดุ ๆ หรือดูสูงอายุ แต่ก็พูดอังกฤษตอบโต้กับเราได้ เด็กตัวเล็ก ๆ จูงน้องมาซื้อของก็ตอบโต้กับเราได้ไม่มีปัญหา คนอินเดียนี่ดูเหมือนว่าเขาพร้อมที่จะคุยกับเราตลอด ดังนั้น นี่คือโอกาสในการฝึกภาษา บังกาลอร์นี้มีร้านขายของเยอะ ร้านหนังสือเอย ขายเสื้อผ้าเอย ฯลฯ คนขายโดยมากจะเป็นผู้ชาย ไม่ค่อยเห็นคนขายผู้หญิงเท่าใดนัก (ไม่เห็นเลยด้วยซ้ำ)

การต่อราคา และการนับเงินทอนเงินก็จะช่วยให้ท่านแม่นเรื่องการนับเลขเป็นภาษาอังกฤษมากขึ้น ไม่เชื่อลองท่อง 1-20 กลับหลังดูสิครับ หรือลองบวกลบเลขเป็นภาษาอังกฤษดู เราจะทำได้ช้ากว่าคนอินเดีย แรก ๆ อาจจะยืนงงกับเงินทอนสักพักแต่เดี๋ยวก็จะดีขึ้น ถ้าฝึกบ่อย ๆ

2. ดูหนัง

การดูหนังเป็นการฝึกการฟังได้ดีครับ ถึงแม้ว่าการดูหนังที่อินเดียราคาจะเท่ากับบ้านเรา ถ้าไปฝึกบ่อย ๆ ก็เอาเรื่องเหมือนกัน ค่าตั๋ว Rs.80 ดูหนังฝรั่งสองเรื่องก็ซัดเข้าไป Rs.160 แล้วครับ อาจจะไม่เห็นผลในวันสองวัน ออกมาจากโรงหนังบางครั้งก็อาจจะยังงงๆ อยู่ บางประโยคสมองเราประมวลผลไม่ทัน อยากจะเลื่อนกลับไปดูแบบ VCD ก็ไม่ได้ ทางออกที่ดีที่สุดและประหยัดด้วยก็คือหา VCD หรือ DVD มาดูครับ เอากลับมาดูที่เมืองไทยก็ได้ แต่ถ้าท่านมีโอกาสเอาคอมพิวเตอร์ตัวเล็ก ๆ ไปด้วยก็หาซื้อมาดูได้

VCD หนังฝรั่งเรื่องหนึ่งราคาไม่แพง แค่ Rs.199 เอง ("เอง" นะครับ) แต่มันสามารถดูกลับไปกลับมาได้หลายรอบ ไม่มี Subtitle ภาษาไทย หรือจะเล่น DVD ก็แค่ไม่กี่ร้อยเอง ซื้อ 5 เรื่องก็ไม่ไหวแล้ว จึงเป็นเหตุให้ผมต้องเดินหาแหล่งขายหนังราคาถูก และโชคดีมากครับ ผมไปเจอแหล่งที่ Ghandhi Nargar ที่นี่มีขาย VCD/DVD ราคาถูก ไม่ใช่แผ่นแท้ครับ จริง ๆ ผมก็ไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้ในหนังสือเลย แต่ผมว่ามันจะช่วยให้ท่านฝึกการฟังและการอ่านได้ดีขึ้น เพราะ DVD 1 แผ่นของเขาจะมีหนังฝรั่ง 4-5 เรื่องในแผ่นเดียวกัน ราคาแผ่นละไม่เกิน Rs.150 ดังนั้น ซื้อมา 1 แผ่น เอามาฝึกการฟังภาษาอังกฤษได้ ถ้าฟังไม่ออกก็เปิด English Subtitle ดูว่าเขาพูดว่าอะไร

แรก ๆ ก็เอาหนังที่เราเคยดูมาก่อน เช่น เคยดู Harry Potter จากเมืองไทยมาแล้ว ก็ลองหา DVD หนัง Harry Potter แบบภาษาอังกฤษดูบ้าง ท่านจะได้ตัวอย่างการตั้งประโยคคำถาม การอุทาน และตัวอย่างการใช้ Tense ซึ่งจะสังเกตได้ถ้าดูแบบ English Subtitle สำหรับการเลือกดูหนังนั้น ถ้าต้องการประโยคที่ง่าย ๆ ก็ให้เริ่มจากการดูหนังง่าย ๆ ก่อน เช่น หนังสำหรับเยาวชน (ไม่อยากพูดว่าหนังสำหรับเด็ก) เช่น Harry Potter ประโยคไม่ซับซ้อนมากนัก หรือจะดูหนังที่เป็น 3D ของ Pixal ก็ได้ ประโยคที่ใช้ก็จะเข้าใจง่าย แต่การขยับปากของตัวละครอาจจะไม่เหมือนกับการใช้คนแสดงมากนัก หนังเด็ก ๆ แบบนี้ ภาษาที่ใช้จะเข้าใจได้ง่ายกว่าหนังพวกสืบสวนสอบสวน คือ ต้องขอบอกว่า ถ้าคิดจะฝึกภาษา ฝึกไปเถอะครับ ไม่มีใครหาว่าท่านเป็นเด็กเพราะดูหนังเด็กหรอก เวลาดูก็ให้ออกเสียงตามไปด้วย ก็จะเป็นการฝึกฝนไปในตัวครับ

3. ฝึกฝนจากการอ่าน

การหาซื้อตำรับตำรามานั่งอ่านในเวลาว่าง จะช่วยให้เกิดประโยชน์อย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นหนังสืออ่านเล่น เช่น นิยาย หรือตำราเรียน ท่านสามารถฝึกทักษะการอ่านเอาเรื่องได้จากการอ่านนิยาย และนอกจากนี้ การอ่านนิยายที่เอามาทำเป็นหนัง ก็จะเข้าใจได้ง่ายกว่าการอ่านนิยายเรื่องใหม่ ยกตัวอย่างง่าย ๆ ถ้าท่านเคยดูหนังเรื่อง The Incredible มาแล้ว ก็ลองหาหนังสือนิยายเรื่องนี้มานั่งอ่านดู ท่านจะเข้าใจได้เร็วขึ้น จากนั้นค่อยเริ่มจับนิยายเรื่องอื่น นอกจากนี้ การอ่านนิยายจะช่วยให้ท่านเห็นตัวอย่างการใช้ Past Tense ได้เป็นอย่างดี เพราะเป็น Tense ที่ใช้ในการแต่งนิยาย ที่ท่านอาจจะไม่เคยเห็นจากการอ่านหนังสือ Grammar ทั่วไป

4. ฝึกเขียน Essay

ถ้าท่านเรียนภาษาแบบตัวต่อตัว ท่านสามารถใช้โอกาสนี้ในการฝึกการเขียนได้ เพราะเมื่อท่านเข้าเรียน ท่านอาจจะต้องเขียนรายงาน, เขียนงานวิจัย, บทคัดย่อ ดังนั้น จึงจำเป็นอย่างมากในการฝึกการเขียน ท่านอาจจะตกลงกับผู้สอนว่าจะเอางานเขียนมาให้ตรวจ, หรือจะลองเขียน Essay, นิยาย, หรือเขียนเรื่องราวย่อ ๆ ของภาพยนตร์ที่ท่านเคยดู เป็นต้น เมื่อฝึกเขียนบ่อย ๆ แล้ว ก็ลองสังเกตตัวเองในเวลาสนทนาดูว่าท่านใช้ Tense ได้ถูกต้องมั้ยในเวลาเล่าเรื่องหรือพูดถึงอดีต บางครั้งในหนังสือ Grammar ก็ไม่มีตัวอย่างที่ชัดเจนนักในเรื่องของ Past Continuous (was/were + Ving) แต่ท่านจะไปประโยคแบบนี้บ่อย ๆ จากนิยาย หรือถ้าท่านเขียนเรื่องราวเป็น Essay ท่านก็จะพบตัวอย่างที่เหมาะสม และมันจะทำให้ท่านจำได้ว่าสถานการณ์แบบไหนควรหยิบใช้ Tense ใด